วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

รูปแบบการวิจัย (Research Design)

                ภิรมย์  กมลรัตนกุล  ( http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm )  ได้รวบรวมและกล่าวถึงรูปแบบการวิจัยไว้ว่า  ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า รูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม จะช่วยป้องกัน หรือลดอคติ หรือความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (systematic error) อันอาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยได้รูปแบบการวิจัย เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน จะมีลักษณะอย่างไร ขึ้นกับคำถาม และวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) เปรียบเสมือนการตกแต่งภายใน ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างของบ้าน (design) ดังนั้น ในการเขียนโครงร่างการวิจัย จึงจำเป็นต้อง กำหนดรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม
                การจำแนกรูปแบบการวิจัย ตามวิธีการดำเนินการวิจัย สามารถแบ่งการวิจัยได้เป็น
2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ การวิจัยโดยการสังเกต (observational research) และการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ขึ้นอยู่กับว่า ตัวแปรอิสระ ซึ่งอาจได้แก่ ปัจจัยเสี่ยง (risk factor หรือ exposure) หรือสิ่งที่เราต้องการประเมิน หรือทดสอบ (เช่น ยา วิธีการรักษา โครงการต่าง ๆ) ซึ่งเรียกว่า "สิ่งแทรกแซง" (intervention) นั้น ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด (assign) ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา หรือตัวอย่างที่นำมาศึกษานั้น ได้รับปัจจัยเสี่ยงนั้นอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน หรือได้รับอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ (ที่เรียกว่า natural exposure) โดยที่ผู้วิจัย ไม่ได้เข้าไปควบคุม หรือแทรกแซงแต่อย่างใด
                การวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยมีการ กำหนดปัจจัยเสี่ยง หรือกำหนดสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา แล้วติดตามดูผล ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การวิจัยชนิดนี้ เรียกว่า การวิจัยเชิงทดลอง

                การวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยไม่มีการกำหนดปัจจัยเสี่ยง หรือสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา แต่ตัวอย่างเหล่านั้น ได้รับ หรือสัมผัส กับปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ อยู่แล้ว ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา โดยผู้วิจัย เป็นแต่เพียงเฝ้าติดตาม สังเกตดูผลที่จะเกิดขึ้น การวิจัยที่เป็นแต่เพียง การเฝ้าสังเกตนี้ จึงได้ชื่อว่า การวิจัยโดยการสังเกต (observational research)
                การวิจัยโดยการสังเกต สามารถจำแนกได้เป็น
2 ชนิด ขึ้นอยู่กับว่า การวิจัยนั้น มีกลุ่มควบคุม (Control group) หรือ กลุ่มเปรียบเทียบ (comparison group) หรือไม่ดังนี้
                ก.
   การวิจัยโดยการสังเกตเชิงพรรณนา (Observational Descriptive Studies) เป็นการวิจัยโดยการสังเกต ที่ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ อาจจำแนกได้เป็น 2 ชนิด ตามเกณฑ์ลำดับเวลาที่ศึกษา คือ
                                1.  การวิจัยเชิงพรรณา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง (แบบตัดขวาง) (Cross-sectional Descriptive Studies)
                                2.   การวิจัยเชิงพรรณนาระยะยาว (Longitudinal Descriptive Studies)
                ข.
  การวิจัยโดยการสังเกตเชิงวิเคราะห์ (Observational Analytic Studies) เป็นการวิจัยโดยการสังเกต ที่มีกลุ่มควบคุม หรือกลุ่มเปรียบเทียบ อาจจำแนกได้เป็น 3 แบบ ตามเกณฑ์ของเวลาที่ศึกษา
                                1.  การวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิดไปข้างหน้า (Prospective Analytic Studies หรือ Cohort Studies) เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ ที่เริ่มศึกษาจากเหตุ ไปหาผล
                                2.  การวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิด
                                3.  การวิจัยเชิงวิเคราะห์ ณ จุดเลาใดเวลาหนึ่ง (Cross-sectional Analytic Studies) เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ ที่ผลและเหตุเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ในจุดที่ทำการศึกษา ไม่ทราบว่าใครเกิดก่อน เกิดหลัง
                การเลือกรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับคำถาม หรือปัญหาการวิจัย ที่ต้องการหาคำตอบ ในการศึกษา เพื่อแสวงหา คำตอบของคำถาม ควรประกอบไปด้วย กระบวนการศึกษาที่ครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่ การศึกษาขนาดของปัญหา ว่ามีมากน้อยเพียงใด (ศึกษาเกี่ยวกับทุกข์) เมื่อทราบว่าโรคนั้นเป็นปัญหา ขั้นต่อไปก็คือการศึกษา ต้นเหตุของปัญหา (สมมุทัย) การศึกษาหาต้นเหตุของปัญหา ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ ในการแก้ปัญหา (นิโรธ) และขั้นต่อไปก็คือ การเลือกแนวทางแก้ไขปัญหา
                นอกจากนี้ เรายังอาจศึกษาเกี่ยวกับ ธรรมชาติของโรค (natural history) หรือศึกษาคุณสมบัติของเครื่องมือ ในการวินิจฉัยโรค (Diagnostic test) เลือกรูปแบบการวิจัย ให้สอดคล้องกับคำถามของการวิจัย

                http://btananuwat.tripod.com/ete493/defind.pdf   ได้รวบรวมและกล่าวถึงรูปแบบการวิจัยไว้ว่า เคอร์ลินเจอร์ (Kerlinger) ได้ให้ความหมายของรูปแบบการวิจัย หมายถึง แผน โครงสร้าง และยุทธิวิธีในการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบของการวิจัย
                อารงค์ สุทธศาสตร์ ได้ให้ความหมายว่า การออกแบบการวิจัยเป็นการวางแผนการวิจัย แล้วเขียนเป็นโครงการ
                สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ได้ให้ความหมายว่า เป็นการกำหนดการวิจัยหรือแบบจำลองการจัดกระทำตัวแปรในการวิจัยให้เหมาะสมกับปัญหาที่มุ่งวิจัยมากกว่าการวางแผนการวิจัยที่เขียนออกมาในรูปโครงการวิจัย

                รูปแบบของการวิจัยสามารถแยกออกได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ ได้ 2 รูปแบบคือ รูปแบบการวิจัย เชิงคุณภาพ และรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ สามารถจำแนกการวิจัย ออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ การวิจัยเชิงพรรณนา และการวิจัยเชิงทดลอง
                1.  การวิจัยเชิงพรรณา (Descriptive research) จะมีรูปแบบของการวิจัยที่ไม่มีแบบแผนตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการวิจัยนั้นๆ โดยการวิจัยประเภทนี้จะเป็นการค้นคว้าหาความจริงของ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อขจัดความไม่รู้ให้หมดไป ในการตอบปัญหานั้นการวิจัยประเภทนี้ จะไม่ตอบปัญหาว่าทำไม แต่จะตอบปัญหาว่าอย่างไร โดยไม่มีการควบคุมตัวแปรหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องแต่ อย่างไร
                2.  การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผล ระหว่างตัวแปร ลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง จะมีองค์ประกอบไปด้วย 3 ประการคือ มีการจัดกระทำ (Manipulation) มีการควบคุม (Control) มีการสังเกตและวัดผลที่เกิดขึ้น (Observation)
                http://5kanlayaporn20.multiply.com/journal/item/91?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem ได้รวบรวมและกล่าวถึงรูปแบบการวิจัยไว้ว่า  รูปแบบการวิจัย   การวิจัยทางการศึกษานั้นสามารถจัดได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งพอสรุป ได้ดังนี้
                1.  ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                               
-   เชิงประวัติศาสตร์
                                -   เชิงบรรยาย
                                -   เชิงทดลอง
                2.  ใช้จุดมุ่งหมายของงานวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
               
                -   บริสุทธิ์
                                -   ประยุกต์
                                -   เชิงปฏิบัติการ
                3.  ใช้ลักษณะและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                               
-   เชิงปริมาณ
                                -   เชิงคุณภาพ
                4.  ใช้ลักษณะศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                                -   วิทยาศาสตร์
                                -   สังคมศาสตร์
                                -   มนุษยศาสตร์
                5.  ใช้วิธีการควบคุมตัวแปรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                                -   เชิงทดลอง
                                -   เชิงกึ่งทดลอง
                                -   เชิงธรรมชาติ


สรุป               
                รูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม จะช่วยป้องกัน หรือลดอคติ หรือความคลาดเคลื่อนอย่างมีระบบ (systematic error) อันอาจจะเกิดขึ้น จากการวิจัยได้ รูปแบบการวิจัย เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน จะมีลักษณะอย่างไร ขึ้นกับคำถาม และวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) เปรียบเสมือนการตกแต่งภายใน ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างของบ้าน (design) ดังนั้น ในการเขียนโครงร่างการวิจัย จึงจำเป็นต้อง กำหนดรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม
                การจำแนกรูปแบบการวิจัย ตามวิธีการดำเนินการวิจัย
 สามารถแบ่งการวิจัยได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ การวิจัยโดยการสังเกต (observational research) และการวิจัยเชิงทดลอง(experimental research) ขึ้นอยู่กับว่า ตัวแปรอิสระ ซึ่งอาจได้แก่ ปัจจัยเสี่ยง (risk factor หรือ exposure) หรือสิ่งที่เราต้องการประเมิน หรือทดสอบ (เช่น ยา วิธีการรักษา โครงการต่าง ๆ) ซึ่งเรียกว่า "สิ่งแทรกแซง" (intervention) นั้น ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด (assign) ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา หรือตัวอย่างที่นำมาศึกษานั้น ได้รับปัจจัยเสี่ยงนั้นอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน หรือได้รับอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ (ที่เรียกว่า natural exposure) โดยที่ผู้วิจัย ไม่ได้เข้าไปควบคุม หรือแทรกแซงแต่อย่างใด
                การวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยไม่มีการกำหนดปัจจัยเสี่ยง หรือสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา แต่ตัวอย่างเหล่านั้น ได้รับ หรือสัมผัส กับปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ อยู่แล้ว ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา โดยผู้วิจัย เป็นแต่เพียงเฝ้าติดตาม สังเกตดูผลที่จะเกิดขึ้น การวิจัยที่เป็นแต่เพียง
 การเฝ้าสังเกตนี้ จึงได้ชื่อว่า การวิจัยโดยการสังเกต(observational research)
               




ที่มา
ภิรมย์  กมลรัตนกุล
:  http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm   เข้าถึงเมื่อวันที่  4  มกราคม  2555.
http://btananuwat.tripod.com/ete493/defind.pdf   เข้าถึงเมื่อวันที่  4  มกราคม  2555.
http://5kanlayaporn20.multiply.com/journal/item/91?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem  เข้าถึงเมื่อวันที่  4  มกราคม  2555.


               



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น